tag:blogger.com,1999:blog-57365439702076868972024-02-20T18:17:53.598-08:00$>> ขาย ต้นอินทผาลัม ที่ราคาถูก ปลูกจากสวนจำนวนมากจำหน่าย: ขายต้นอินทผาลัม ขายต้นอินทผาลัมสูง อินทผาลัมโคราช อินทผาลัม ต้นปาล์ม ต้นปาล์มประดับ จัดสวน จำนวนมากUnknownnoreply@blogger.comBlogger5125tag:blogger.com,1999:blog-5736543970207686897.post-61033977312082288442018-06-22T01:18:00.000-07:002018-06-22T01:18:08.695-07:00ประโยชน์ของ“อินทผลัม”ใช้ทำอะไรได้บ้าง? “อินทผลัม” พืชตระกูลปาล์ม ที่มีหลากหลายสายพันธ์ โดยมักจะนิยมทานผลทั้งดิบและสุก ซึ่งมักจะได้ยินชื่อเจ้าพืชชนิดนี้กันอยู่บ่อยครั้ง เพราะมีขายอยู่ตามแผงผลไม้ตากแห้ง โดยมีรสชาติที่หวานมาก จนหลายคนคิดว่ามีการนำไปเชื่อมโดยใช้น้ำตาลเป็นส่วนผสมหลัก<br />
<br />
วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับ อินทผลัม ว่ามีประโยชน์อะไรบ้าง รวมไปถึงใช้ทำเมนูอาหารอะไร นอกจากเป็นผลไม้ตากแห้ง<br />
<br />
สำหรับ อินทผลัม นั้นมีต้นกำเนิดมากจากแถบตะวันออกกลางแถวๆ ซาอุดิอาราเบีย, โอมาน, เยเมน, สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ อย่างที่บอกไปว่าเป็นพืชตระกูลปาล์ม สามารถเติบโตได้ดีกับสภาพอากาศที่ร้อนแห้ง ซึ่งในประเทศไทยนั้นมีการนำพืชชนิดนี้เข้ามาปลูกกันน้อย แต่หากสามารถทำได้ก็มีราคาที่ค่อนข้างแพงกว่าพืชชนิดนี้<br />
<br />
ส่วนประโยชน์ของ อินทผลัม ด้านโภชนาการ นั้นมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย และยังเป็นผลไม้ที่ไม่มีคอเลสตอรอลรวมไปถึงไขมันต่ำอีกด้วย<br />
<br />
นอกจากยังอุดมไปด้วยวิตามินต่างๆ นานาชนิดไม่ว่าจะเป็น วิตามิน A, B1, B2, B6 และวิตามิน K รวมไปถึงยังมี ซัลเฟอร์, ธาตุเหล็ก, ฟอสฟอรัส, โพแทสเซียม, แคลเซียม และ ไฟเบอร์อีกด้วย
ว่ากันว่า อินทผลัม นั้นมีประโยชน์มากมาย ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดในสมอง, ควบคุมระบบประสาทให้ดีขึ้น, บำรุงสาย, บำรุงกระดึกซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และเชื่อหรือไม่ว่า อินทผลัม ที่มีรสชาติหวานนี้ ยังสามารถช่วยในการรักษาโรคเบาหวานได้อีกด้วย
โดยมีผลวิจัยออกมาว่าการรับประทานอินทผลัมนั้นไม่ได้ทำให้ระดับน้ำตาลในร่างกายขึ้นสูง เพราะถึงจะมีความหวานแต่น้ำตาลเหล่านี้เป็นของที่มีประโยชน์ต่อร่างกายนั้นเอง แต่ถึงอย่างไรของทุกนั้นมีประโยชน์หากเราบริโภคให้พอดี ไม่ทานมากเกินไป<br />
<br />
นอกจากนี้คำถามที่หลายๆคนสงสัยว่าเจ้าผลไม้ชนิดนี้นั้นสามารถช่วยในการลดน้ำหนักได้หรือไม่ คำตอบคือสามารถทำได้ หากเลือกรับประทานอินทผลัมที่ไม่ได้มีส่วนผสมของน้ำตาลอื่นๆ เพราะว่าผลไมชนิดนี้นั้นมีไฟเบอร์สูงที่ช่วยในการย่อยอาหาร และยังปรับระบบการทำงานของแบคทีเรียในลำไส้อีกด้วย <a href="https://scr888.gclub-casino.com/">scr888</a>
ส่วน อินทผลัม นั้นสามารถนำมาประกอบอาหารอะไรได้บ้าง ต้องบอกว่ามีหลายชนิดเลยทีเดียว อย่างที่เราเข้าใจกันว่าเป็นผลไม้ที่นำไปตากแห้งและสามารถเก็บได้เป็นปีๆ แต่ยังสามารถนำไปทำเมนูอื่นๆ ที่เป็นของคาวได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นแกงมัสมั่นที่ใช้ อินทผลัม เป็นตัวเพิ่มความหวานแทนน้ำตาล หรือจะนำไปต้มสกัดเป็นน้ำซุปก็ยังได้ ส่วนเมนูของหวานจากอินทผลัมก็จะมีอย่าง เค้กอินทผลัม, โยเกิร์ตอินทผลัมอบแห้ง เป็นต้น
เห็นกันแล้วใช่ไหมล่ะว่าผลไม้ชนิดนี้สรรพคุณนั้นไม่ธรรมดาเอาเสียเลย เรียกได้ว่าเป็นพืชที่มหัศจรรย์ชนิดหนึ่งเลยก็ว่าได้
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5736543970207686897.post-20431229860552627512017-06-19T01:27:00.001-07:002017-06-19T01:27:14.688-07:00แหล่งรวมศูนย์จำหน่าย จัดหา ขายต้นไม้ ออนไลน์หากคุณกำลังมองหาต้นไม้ ชนิดไหนก็ตามใจคุณ คุณสามารถเข้าไปติดต่อสอบถามสือค้นหาข้อมูลราคาการขายของต้นไม้ที่แหล่งการ<a href="http://gardenhon.com/%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%95%e0%b9%89%e0%b8%99%e0%b9%84%e0%b8%a1%e0%b9%89/">ขายต้นไม้</a>ออนไลน์ได้<br />
<br />
ต้นไม้ที่ทางทีมงานจัดหาต้นไม้ซึ่งได้มาจากแหล่งที่อยู่ในพื้นที่ไม้ว่าจะเป็นไม้ขุดล้อม ไม้ใหญ่ ไม้ประดับ ไม่ดอก ไม้ล้มลุก และอื่นๆ สามารถติดตามดูรายละเอียดได้เลยจ้าUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5736543970207686897.post-53738866450219167322011-07-28T22:18:00.000-07:002011-07-28T22:18:56.579-07:00$>> ขาย ต้นอินทผาลัม สูง ที่ราคาถูกจำนวนมาก<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><img alt="ขาย ต้นอินทผาลัม ที่ราคาถูก" border="0" height="300" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiN2KExw0HVc_wCuwotTh9FLp-ABflnq84Fw_MXUjy4K0oNy2EQjVWEWGWO7ft_UT2wGe2zLzlpxSgzo5Xor0GedSFTWFWGOFmj_ge9aIaZMDKmEWmfguYJXZGCvrm7VCm-EqmO8swfiec/s400/%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%2595%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25A1.jpg" title="ต้นอินทผาลัม" width="400" /></div><br />
<br />
<div style="color: red;"><span style="font-size: x-large;"><u><b>ขาย ต้นอินทผาลัม ที่ราคาถูก ปลูกจากสวนจำนวนมาก</b></u></span></div><br />
<span style="font-size: large;">ขายต้นอินทผาลัม ขนาด 1-2 เมตร. มากกว่า 10 ต้น</span><br />
<span style="font-size: large;">ขายราคาประมาณต้นละ 500-1,000 บาท</span><br />
<span style="font-size: large;"><br />
</span><br />
<span style="font-size: large;">ขายต้นอินทผาลัม ขนาด 2 เมตรขึ้นไป มีมากกว่า 10 ต้น</span><br />
<span style="font-size: large;">ขายราคาประมาณต้นละ 1,000 - 2,500 บาท</span><br />
<br />
<b>ลักษณะของต้นอินทผาลัมที่จะขายดั่งตามรูปภาพด้านบน ที่บ้านปลูกไว้เยอะมากครับตอนนี้ต้องการจะขายโละออกให้หมด ลดราคาถูกๆ ได้ตามใจผู้ซื้อ ส่วนเรื่องราคาสามารถต่อรองได้นะครับ พอดีตอนนี้ต้องการจะใช้เนื้อที่ ที่อยู่ข้างบ้านจึงต้องการขายอย่างเร่งด่วน...!! ถ้ามาขุดเองก็น่าจะได้เป็นคันรถสิบล้อครับ คุ้มค่าเที่ยว..</b><br />
<div style="color: blue;"><br />
</div><div style="color: blue;"><u><b>สนใจสามารถติดต่อได้ที่</b></u></div><b>ที่อยู่สวนที่ขาย: 22 หมู่ 15 ต.นิคมทุ่งโพธิ์ทะเล อ.เมือง จ.กำแพงเพชร</b><br />
<b><br />
</b><br />
<b>โทรศัพท์:089-9986736</b><br />
<b><br />
</b><br />
<b>ติดต่อที่: ธีระพงษ์</b><br />
<br />
................................................<br />
<br />
<b><u>ต้นอินทผลัม</u></b> เป็นพืชตระกูลปาล์ม มีหลายสายพันธุ์ มีถิ่นกำเนิดในแถบตะวันออกกลาง สามารถเจริญเติบโตได้ดีในภูมิภาคที่มีอากาศร้อนและแห้งแล้งแบบทะเลทราย ลำต้นมีความสุงประมาณ 30 เมตร มีขนาดลำต้นประมาณ 30-50 เซนติเมตร มีใบติดอยู่บนต้นประมาณ 40-60 ก้าน ทางใบยาว 3-4 เมตร ใบเป็นแบบขนนก ใบย่อยพุ่งออกหลายทิศทาง ช่อดอกจะออกจากโคนใบ ผลทรงกลมรี ยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตร ออกเป็นช่อรสหวานฉ่ำ ทานได้ทั้งผลดิบและสุก ผลจะมีสีเหลืองจนถึงสีส้มและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลถึงน้ำตาลเข้มเมื่อแก่จัด ผลสุกมักจะนำไปตากแห้ง สามารถเก็บไว้เป็นเวลาหลายปี มีรสชาติหวานจัด จึงมักถูกเข้าใจผิดว่ามีการนำไปเชื่อมด้วยน้ำตาล<br />
<br />
<b>การขยายพันธุ์อินทผลัม</b><br />
<ul><li>การใช้เมล็ด</li>
<li>การแยกหน่อจากต้นใหญ่ (ตัวเมีย) โดยเลือกต้นแม่ที่มีอายุตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไป</li>
</ul><b>ประโยชน์ของอินทผลัม</b><br />
<br />
สามารถแบ่งได้ 2 ด้านใหญ่คือ<br />
<br />
ด้านคุณค่าทางโภชนาการ สารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของอินทผลัม เช่น แคลเซียม ซัลเฟอร์ เหล็ก โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แมงกานีส แมกนีเซียม และน้ำมันโวลาไตล์ ทั้งยังอุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยลดอาการท้องผูก รวมถึงให้พลังงานสูง บำรุงร่างกายที่อ่อนล้าให้กลับมีกำลัง นอกจากนี้ยังสามารถบำรุงกล้ามเนื้อมดลูกและสร้างน้ำนมแม่ด้วย<br />
<br />
ด้านการรักษาโรค อินทผลัมช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงสายตา ลดความหิว แก้กระหาย แก้โรควิงเวียนศีรษะ ช่วยลดเสมหะในลำคอ ทำให้กระดูกแข็งแรง ลดระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังฆ่าเชื้อโรค พยาธิและสารพิษที่ตกอยู่ในลำไส้และระบบทางเดินอาหาร มีฤทธิ์ในการกำจัดสารพิษและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคอันเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งในช่องท้องUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5736543970207686897.post-49432366486893139902011-07-28T21:52:00.000-07:002011-07-28T21:52:49.842-07:00สรรพคุณ ประโยชน์ของ อินทผาลัม<b>สำหรับประโยชน์ของอินทผลัม</b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><img alt="สรรพคุณ ประโยชน์ของ อินทผาลัม" border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi3cJEi7jZJ6gklvbEAsct5fHuXHq3sxrF1XbB84fkXjKz4VM4WqEzfFiaRgCVXCgF2QQXG_b2CL1Hi88cgXRwyIxDHIwT0vssyIdynkEZRNxS1vtiUNarBXMQYoMK7mDGViUdtfU8Y_kM/s1600/%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25A1+%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2593.jpg" title="อินทผาลัม" /></div><br />
มีอยู่ 2 ด้านคือ ด้านคุณค่าทางโภชนาการ เพราะอินทผลัมมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมาก เช่น ซัลเฟอร์ เหล็ก โพแตสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม แมงกานีส และน้ำมันโวลาไดท์ เป็นต้น มีเส้นใยมาก ช่วยลดอาการท้องผูกและทำให้ย่อยง่าย รวมทั้งให้พลังงานสูง ทำให้ร่างกายที่อ่อนเพลียกลับมีกำลังวังชาเท่าเดิม<br />
นอกจากนี้ยังสามารถบำรุงกล้ามเนื้อมดลูกและสร้างน้ำนมแม่ด้วย<br />
<br />
อีกด้านหนึ่งคือด้านการรักษาโรค อินทผลัมช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงสายตา ลดความหิว แก้กระหาย แก้โรควิงเวียนศีรษะ ช่วยลดเสมหะ ทำให้กระดูกแข็งแรง ลดระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังฆ่าเชื้อโรค พยาธิและสารพิษที่ตกอยู่ในลำไส้ และระบบทางเดินอาหารเพราะอินทผลัมมีฤทธิ์ในการกำจัดสารพิษ และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค อันเป็นสารก่อมะเร็งในช่องท้องได้<br />
<br />
ที่มา : http://www.ridwanclub.com/subindex.php?page=content&id=526Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5736543970207686897.post-66886394661418114902011-07-28T20:28:00.000-07:002011-07-28T20:34:24.074-07:00วิธีการปลูกอินทผาลัม ปลูกอย่างไร?<span style="font-size: large;">การปลูก "<u><b>อินทผาลัม</b></u>" </span><br />
<br />
<i>อินทผลัม</i> ชื่อวิทยาศาสตร์ : Phaenix sp.<br />
ชื่อ วงศ์ : Palmae (Arecaceae)<br />
ชื่อสามัญ : Date Palm<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><img alt="วิธีการปลูกอินทผาลัม ปลูกอย่างไร?" border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhc5lnj44EayakCKHnw6A4Vq7ntWCOsd26xMcUDEIW0trTUQBfQNehYE4VdMPdRGaDljreLMCQMat-anGGLkkYhAu4jmGVaWiei72QxBsEdZnt6oKY_C518m_6krLMATF9G6WyP64xV1p0/s320/%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B9%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%2595%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25A1.jpg" title=" อินทผลัม อินทผาลัม " width="239" /></div><br />
<u><b>วิธีการปลูกอินทผลัม</b></u><br />
1. ต้นที่ปลูกจะใช้วิธีการแยกหน่อจากต้นใหญ่ (ตัวเมีย) โดยเลือกต้นแม่ที่มีอายุตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไป หน่อมีขนาดใหญ่ดีกว่าขนาดเล็ก เมื่อตัดจากต้นแม่แล้วจะมัดรวบใบไว้ก่อน (ควรใช้หน่อที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 8 นิ้ว ขึ้นไป) ราคาต้นพันธุ์ประมาณ 15-20 RO ขึ้นอยู่กับพันธุ์ (ประมาณ 1,500-2,000 บาท ; 1 RO = 100 บาท)<br />
<br />
2. เมื่อปลูกแล้วประมาณ 3 ปี จะเริ่มให้ผลผลิต 3. การปลูกจะขุดหลุม ขนาด 0.8 x 0.8 x 0.8 เมตร ปลูกให้หน่ออยู่ลึกลงไปในหลุม และหน่อจะลึกลงไปในดินประมาณ 30 เซนติเมตร เพื่อให้สามารถเก็บน้ำไว้สำหรับต้นที่ปลูกใหม่ได้ดี ระยะปลูกใหม่ยังไม่ให้ปุ๋ย ให้เหลือเพียงแต่น้ำทุก 5 วัน เมื่อตั้งตัวแล้วประมาณ 1 เดือน จึงจะเริ่มให้ปุ๋ยคอก ต้นละประมาณ 2 กิโลกรัม ในการปลูกระยะแรกจะยังคงมัดรวบใบไว้จนกว่าต้นจะฟื้นและตั้งตัวได้ จึงจะตัดเชือกที่ผูกออก วิธีการนี้จะใช้กับการย้ายต้นใหญ่ๆ ไปปลูกที่อื่นด้วย จะช่วยให้ต้นรอดตายมาก<br />
<br />
<u><b>วิธีการดูแลรักษาอินทผลัม</b></u><br />
1. การปรับพื้นดิน ในช่วงหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วทุกปี (ประมาณเดือนกันยายน) จะมีการใช้รถไถเดินตามไถพรวนพื้นที่ใต้ต้นซึ่งสภาพดินส่วนใหญ่จะเป็นทราย เป็นการกำจัดวัชพืชไปในตัว ขณะเดียวกันก็จะทำเป็นแนวร่องน้ำและคันกั้นน้ำแต่ละต้นไปด้วย เป็นตารางคล้ายคันนาขนาด กว้าง x ยาว ประมาณ 6 x 6 เมตร<br />
<br />
2. การให้น้ำ น้ำที่ใช้จะถูกส่งมาตามรางคอนกรีต ซึ่งมาจากจุดให้น้ำของหมู่บ้าน มีเครื่องสูบน้ำมาเก็บไว้ มีหัวหน้าหมู่บ้านเป็นผู้ควบคุมดูแลการจ่ายน้ำ ซึ่งจะกำหนดจ่ายให้ทุกสวน ทุก 5 วัน และทุก 3 สัปดาห์ ในฤดูหนาว โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายน้ำ เมื่อไหลเข้ามาตามรางในสวนจะถูกปล่อยไปตามต้นต่างๆ ตามร่องที่เตรียมไว้<br />
<br />
3. การใส่ปุ๋ย หลังจากเก็บผลแล้วจะมีการใส่ปุ๋ยยูเรีย 1 ครั้ง ต้นละประมาณ 3 กิโลกรัม หว่านทั่วใต้ต้น และให้ปุ๋ยคอกต้นละประมาณ 30 กิโลกรัม (1 กระสอบ) 1 ครั้ง ต่อปี หลังจากให้ปุ๋ยยูเรียแล้วประมาณ 10 วัน<br />
<br />
4. การตัดแต่งใบ จะมีการตัดแต่งทางใบ โดยใช้เลื่อยที่มีลักษณะคล้ายเคียว ผู้ตัดจะปีนขึ้นบนต้นไปตัดทางใบที่แก่แล้วทิ้งไป ต้นละประมาณ 2-3 ทางใบ ทางใบที่ตัดออกมาจะใช้ในการทำรั้วหรือทำฟืน ขณะเดียวกันจะตัดหน่อที่แตกออกมาที่กลางต้น หรือใกล้ๆ ยอดออกด้วย ทำให้ต้นสะอาดเป็นการป้องกันแมลงศัตรูที่อาจมารบกวนได้ และทำให้การป้องกันสัตว์ที่มากัดกินผลได้ง่ายด้วย<br />
<br />
5. การป้องกันกำจัดโรคแมลงและศัตรูอื่นๆ ไม่มีการป้องกันกำจัดโรคแมลง เนื่องจากไม่มีการระบาดของศัตรูดังกล่าว แต่มีนกหรือหนู หรือกระรอกมารบกวนกัดกินผล โดยเฉพาะในช่วงที่ผลใกล้แก่ เกษตรกรจะใช้วิธีการยิงด้วยหนังสติ๊ก หรือปืนลม<br />
<u><b><br />
</b></u><br />
<u><b>วิธีการออกดอกติดผลอินทผลัม</b></u><br />
1. การออกดอก เดือนมกราคมจะเริ่มออกดอก ต้นหนึ่งจะมีช่อดอกประมาณ 5-11 ช่อ และจะบานประมาณปลายเดือนมกราคมเป็นต้นไป โดยทยอยบานทุกๆ 5 วัน เกษตรกรจะนำเกสรตัวผู้โดยตัดจากช่อดอกตัวผู้ที่มีอยู่ในสวน ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมใช้พันธุ์ Khori และ Bahani (สวนที่ดูงานจะมีต้นตัวผู้อยู่ 4 ต้น ก็เพียงพอสำหรับผสมกับต้นตัวเมีย ประมาณ 250 ต้น) ดอกตัวผู้สามารถเก็บไว้ใช้ได้โดยนำช่อดอกไปผึ่งแดดให้แห้ง เก็บใส่ถุงพลาสติกใส่ถังปิดฝาไว้ เก็บไว้ได้นานหลายเดือน จะผสมเกสรเสร็จประมาณเดือนมีนาคม หลังจากติดผลแล้ว 3 สัปดาห์ ทะลายที่ติดผลจะค่อยๆ โน้มห้อยลงมาใต้ทางใบทำให้ผลไม่เสียดสีกับหนามเมื่อลมพัด และสะดวกในการเก็บเกี่ยวด้วย ผลจะเริ่มแก่ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม บางพันธุ์อาจแก่ก่อนนี้เป็นพันธุ์เบาซึ่งขายได้ราคาดี (เช่น พันธุ์ Battas) ปกติจะเก็บเกี่ยวมากๆ ในเดือนสิงหาคม ระยะตั้งแต่ติดผลจนถึงผลแก่ประมาณ 180-200 วัน แต่ละทะลายจะมีผลติดดกประมาณ 6-8 กิโลกรัม<br />
<br />
2. การเก็บเกี่ยว เมื่อผลแก่จะมีสีแดง หรือเหลือง แล้วแต่พันธุ์ มีรสชาติมันและหวาน เกษตรกรจะปีนขึ้นไปโดยใช้เชือกที่ถักแบนๆ โอบรัดไปด้านหลังของเกษตรกรและพันรอบต้น แล้วค่อยๆ ขยับขึ้นไปโดยใช้เท้าเหยียบไปบนต้นที่มีโคนทางใบ ที่หลงเหลืออยู่จากการตัด ทำให้ขึ้นได้ง่ายมาก เมื่อตัดแล้ววางลงบนตะกร้า หย่อนเชือกลงมาด้านล่าง ผู้ที่อยู่ใต้ต้นจะเป็นผู้เก็บรวบรวมเป็นกอง ปกติต้นหนึ่งๆ จะให้ผลผลิตประมาณ 100-150 กิโลกรัม (ถ้าดูแลดี แต่โดยทั่วไปจะได้น้อยกว่านี้)<br />
<br />
3. ราคาจำหน่าย เกษตรจำหน่ายผลอินทผลัมสดในช่วงต้นฤดูกาลประมาณ กิโลกรัมละ 10-15 RO แต่ในช่วงที่ผลผลิตออกมากจะขายได้ประมาณ 0.25-0.35 RO ผลแห้งในท้องตลาดจะจำหน่ายปลีกประมาณ กิโลกรัมละ 0.35-1.0 RO ขึ้นอยู่กับคุณภาพของสินค้า 4. การแปรรูป เกษตรกรจะนำผลไปผึ่งแดด ประมาณ 7-10 วัน จนผลแห้ง (เนื้อที่เป็นแป้งจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทั้งผล) แล้วนำไปล้างน้ำตากแห้งอีกเพียง 1 วัน แล้วบรรจุภาชนะเพื่อจำหน่ายต่อไป การคัดคุณภาพของผลแห้งจะแยกเป็นชนิดที่แยกเป็นผลเดี่ยวๆ ได้จะมีราคาแพง ส่วนผลที่ค่อนข้างจะติดกันจะตักขายเป็นก้อน ราคาจะถูกลง ส่วนชนิดที่เละมากจะนำไปกวนเป็นน้ำหวานสำหรับปรุงอาหาร สำหรับผลผลิตที่ไม่มีคุณภาพ เกษตรกรจะนำไปผึ่งแดดเก็บไว้เป็นอาหารสำหรับเลี้ยงวัว<br />
<br />
ข้อคิดเห็นจากการ ศึกษาข้อมูลใน<u><b>การปลูกต้นอินทผลัม</b></u>ครั้งนี้ คือ<br />
1. ต้นอินทผลัมเป็นไม้ผลเมืองร้อนแบบทะเลทราย ที่มีความทนทานต่อสภาพภูมิอากาศที่แห้งแล้งได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าต้องการผลผลิตที่มีคุณภาพจะต้องมีการดูแลรักษาสวนที่ดีด้วย เช่น การให้น้ำจะต้องมีอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอและพอเพียง<br />
<br />
2. ผลอินทผลัมสด เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นผลอินทผลัมแห้งที่มีคุณภาพตาม ธรรมชาติ จะต้องอาศัยสภาพอากาศที่ร้อนและแห้ง (ซึ่งเป็นสภาพของอากาศโดยทั่วไปของกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง) หากเป็นประเทศที่มีความร้อนชื้นเหมือนบ้านเราจะทำให้การเปลี่ยนแปลง ไม่สมบูรณ์ จะเกิดเชื้อราขึ้นและเน่าในที่สุด<br />
<br />
3. <i>ต้นอินทผลัม</i>เป็นต้นไม้ที่มีดอกตัวเมียและตัวผู้แยกอยู่คนละต้น ในการปลูกเพื่อมีการติดผลที่ดีจะต้องปลูกทั้งต้นตัวผู้ และต้นตัวเมียไว้ใน สวนเพื่อประโยชน์ในการผสมเกสร แต่บางพันธุ์อาจมีการติดผล และมีการพัฒนาของผลได้ดีโดยไม่ต้องมีการผสมเกสร เช่น Naghal แต่ผลที่ได้เนื้อจะบาง<br />
<br />
4. เมล็ดของผลอินทผลัมที่ได้หลังจากบริโภคเนื้อแล้ว (โดยการซื้อผลอินทผลัมแห้งจากตลาดทั่วไป) สามารถนำไปเพาะเป็นต้นเพื่อปลูกได้ โอกาสที่จะได้เป็นต้นตัวผู้และต้นตัวเมียมีอย่างละ 50% แม้จะได้ต้นตัวเมียไปปลูกแต่คุณภาพก็จะไม่เหมือนกับต้นแม่ (คุณภาพของเนื้ออาจจะไม่ดีเท่ากับที่เราซื้อมา) เนื่องจากผลอินทผลัมแห้งที่มีจำหน่าย เป็นผลที่ได้จากการผสมเกสรข้ามต้น จึงถือว่าเมล็ดที่ได้เป็นพันธุ์ลูกผสม ซึ่งไม่สามารถเรียกชื่อเดียวกับต้นแม่ได้<br />
<br />
5. สำหรับประเทศไทยมีหลายจังหวัดที่มีสภาพภูมิอากาศ และสภาพดินที่สามารถปลูกต้น อินทผลัมได้ดี แต่ในช่วงที่ผลผลิตแก่ (ประมาณเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม) เป็นฤดูฝนจะทำให้เกิดปัญหาผลเน่า ดังนั้น แนวทางที่จะผลิตเป็นการค้าสำหรับบ้านเรา คือการคัดเลือกพันธุ์ที่เหมาะสมจะจำหน่ายผลสด ลักษณะดังกล่าวควรจะมีผลขนาดโต เนื้อกรอบ รสชาติ มัน หวาน เช่น พันธุ์ Hilali พันธุ์ Khalas เมื่อผลแก่จัดสามารถตัดส่งไปจำหน่ายได้เลย ปัจจุบันมีผู้บริโภครู้จักการบริโภคผลอินทผลัมสด มากขึ้นทั้งในประเทศ และต่าง ประเทศ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย (ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม มีความคุ้นเคยกับการบริโภคผลอินทผลัมสดอยู่แล้ว) นอกจากนั้น หากผู้ผลิตที่มีเครื่องอบผลไม้ไม่ว่าจะเป็นเครื่องอบพลังแสงอาทิตย์ หรือตู้ความร้อนจากไฟฟ้า หรือแก๊ส ก็สามารถใช้ผลิตผลอินทผลัมแห้งได้ดี ผลอินทผลัมแห้งที่ได้จะมีคุณภาพ เช่นเดียวกับที่มาจากประเทศกลุ่มอาหรับด้วย<br />
<br />
6. ต้นพันธุ์อินทผลัมที่ดีควรเป็นต้นที่แยกหน่อ จากต้นแม่ที่รู้จักชื่อพันธุ์ และมีประวัติการให้ผลผลิตที่ดี แต่การจะสั่งต้นพันธุ์ดังกล่าวจากประเทศผู้ผลิต เข้ามาปลูกอาจจะยุ่งยาก ปัจจุบันมีต้นพันธุ์ที่ผลิตด้วยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (Tissue culture) เพื่อการจำหน่ายแล้วในหลายประเทศ เช่น อิสราเอล สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สามารถสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตได้ การขนส่งทางไปรษณีย์ทำได้สะดวกและรวดเร็ว จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับเกษตรกรไทย ที่จะได้ทดลองผลิตพืชใหม่ที่อาจจะเป็นพืชที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ ของไทยในอนาคตก็เป็นได้<br />
<br />
<br />
ขอบคุณข้อมูลจาก : <a href="http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=6551ee6d4e6dffa8&pli=1">คุณwoodmemory</a><br />
<br />
ทิ้งท้ายด้วย "<i><b>เทคนิคและวิการปลูกอินทผาลัม</b></i>"<br />
<br />
1. ต้นที่ปลูกจะใช้วิธีการแยกหน่อจากต้นใหญ่ (ตัวเมีย) โดยเลือกต้นแม่ที่มีอายุตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไป หน่อมีขนาดใหญ่ดีกว่าขนาดเล็ก เมื่อตัดจากต้นแม่แล้วจะมัดรวบใบไว้ก่อน (ควรใช้หน่อที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 8 นิ้ว ขึ้นไป) ราคาต้นพันธุ์ประมาณ 15-20 RO ขึ้นอยู่กับพันธุ์ (ประมาณ 1,500-2,000 บาท ; 1 RO = 100 บาท)<br />
<br />
2. เมื่อปลูกแล้วประมาณ 3 ปี จะเริ่มให้ผลผลิต 3. การปลูกจะขุดหลุม ขนาด 0.8 x 0.8 x 0.8 เมตร ปลูกให้หน่ออยู่ลึกลงไปในหลุม และหน่อจะลึกลงไปในดินประมาณ 30 เซนติเมตร เพื่อให้สามารถเก็บน้ำไว้สำหรับต้นที่ปลูกใหม่ได้ดี ระยะปลูกใหม่ยังไม่ให้ปุ๋ย ให้เหลือเพียงแต่น้ำทุก 5 วัน เมื่อตั้งตัวแล้วประมาณ 1 เดือน จึงจะเริ่มให้ปุ๋ยคอก ต้นละประมาณ 2 กิโลกรัม ในการปลูกระยะแรกจะยังคงมัดรวบใบไว้จนกว่าต้นจะฟื้นและตั้งตัวได้ จึงจะตัดเชือกที่ผูกออก วิธีการนี้จะใช้กับการย้ายต้นใหญ่ๆ ไปปลูกที่อื่นด้วย จะช่วยให้ต้นรอดตายมาก<br />
<br />
<b>การดูแลรักษาอินทผาลัม</b><br />
1. การปรับพื้นดิน ในช่วงหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วทุกปี (ประมาณเดือนกันยายน) จะมีการใช้รถไถเดินตามไถพรวนพื้นที่ใต้ต้นซึ่งสภาพดินส่วนใหญ่จะเป็นทราย เป็นการกำจัดวัชพืชไปในตัว ขณะเดียวกันก็จะทำเป็นแนวร่องน้ำและคันกั้นน้ำแต่ละต้นไปด้วย เป็นตารางคล้ายคันนาขนาด กว้าง x ยาว ประมาณ 6 x 6 เมตร<br />
<br />
2. การให้น้ำ น้ำที่ใช้จะถูกส่งมาตามรางคอนกรีต ซึ่งมาจากจุดให้น้ำของหมู่บ้าน มีเครื่องสูบน้ำมาเก็บไว้ มีหัวหน้าหมู่บ้านเป็นผู้ควบคุมดูแลการจ่ายน้ำ ซึ่งจะกำหนดจ่ายให้ทุกสวน ทุก 5 วัน และทุก 3 สัปดาห์ ในฤดูหนาว โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายน้ำ เมื่อไหลเข้ามาตามรางในสวนจะถูกปล่อยไปตามต้นต่างๆ ตามร่องที่เตรียมไว้<br />
<br />
3. การใส่ปุ๋ย หลังจากเก็บผลแล้วจะมีการใส่ปุ๋ยยูเรีย 1 ครั้ง ต้นละประมาณ 3 กิโลกรัม หว่านทั่วใต้ต้น และให้ปุ๋ยคอกต้นละประมาณ 30 กิโลกรัม (1 กระสอบ) 1 ครั้ง ต่อปี หลังจากให้ปุ๋ยยูเรียแล้วประมาณ 10 วัน<br />
<br />
4. การตัดแต่งใบ จะมีการตัดแต่งทางใบ โดยใช้เลื่อยที่มีลักษณะคล้ายเคียว ผู้ตัดจะปีนขึ้นบนต้นไปตัดทางใบที่แก่แล้วทิ้งไป ต้นละประมาณ 2-3 ทางใบ ทางใบที่ตัดออกมาจะใช้ในการทำรั้วหรือทำฟืน ขณะเดียวกันจะตัดหน่อที่แตกออกมาที่กลางต้น หรือใกล้ๆ ยอดออกด้วย ทำให้ต้นสะอาดเป็นการป้องกันแมลงศัตรูที่อาจมารบกวนได้ และทำให้การป้องกันสัตว์ที่มากัดกินผลได้ง่ายด้วย<br />
<br />
5. การป้องกันกำจัดโรคแมลงและศัตรูอื่นๆ ไม่มีการป้องกันกำจัดโรคแมลง เนื่องจากไม่มีการระบาดของศัตรูดังกล่าว แต่มีนกหรือหนู หรือกระรอกมารบกวนกัดกินผล โดยเฉพาะในช่วงที่ผลใกล้แก่ เกษตรกรจะใช้วิธีการยิงด้วยหนังสติ๊ก หรือปืนลม<br />
<br />
<b>การออกดอกติดผลอินทผาลัม</b><br />
1. การออกดอก เดือนมกราคมจะเริ่มออกดอก ต้นหนึ่งจะมีช่อดอกประมาณ 5-11 ช่อ และจะบานประมาณปลายเดือนมกราคมเป็นต้นไป โดยทยอยบานทุกๆ 5 วัน เกษตรกรจะนำเกสรตัวผู้โดยตัดจากช่อดอกตัวผู้ที่มีอยู่ในสวน ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมใช้พันธุ์ Khori และ Bahani (สวนที่ดูงานจะมีต้นตัวผู้อยู่ 4 ต้น ก็เพียงพอสำหรับผสมกับต้นตัวเมีย ประมาณ 250 ต้น) ดอกตัวผู้สามารถเก็บไว้ใช้ได้โดยนำช่อดอกไปผึ่งแดดให้แห้ง เก็บใส่ถุงพลาสติกใส่ถังปิดฝาไว้ เก็บไว้ได้นานหลายเดือน จะผสมเกสรเสร็จประมาณเดือนมีนาคม หลังจากติดผลแล้ว 3 สัปดาห์ ทะลายที่ติดผลจะค่อยๆ โน้มห้อยลงมาใต้ทางใบทำให้ผลไม่เสียดสีกับหนามเมื่อลมพัด และสะดวกในการเก็บเกี่ยวด้วย ผลจะเริ่มแก่ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม บางพันธุ์อาจแก่ก่อนนี้เป็นพันธุ์เบาซึ่งขายได้ราคาดี (เช่น พันธุ์ Battas) ปกติจะเก็บเกี่ยวมากๆ ในเดือนสิงหาคม ระยะตั้งแต่ติดผลจนถึงผลแก่ประมาณ 180-200 วัน แต่ละทะลายจะมีผลติดดกประมาณ 6-8 กิโลกรัม<br />
<br />
2. การเก็บเกี่ยว เมื่อผลแก่จะมีสีแดง หรือเหลือง แล้วแต่พันธุ์ มีรสชาติมันและหวาน เกษตรกรจะปีนขึ้นไปโดยใช้เชือกที่ถักแบนๆ โอบรัดไปด้านหลังของเกษตรกรและพันรอบต้น แล้วค่อยๆ ขยับขึ้นไปโดยใช้เท้าเหยียบไปบนต้นที่มีโคนทางใบที่หลงเหลืออยู่จากการตัด ทำให้ขึ้นได้ง่ายมาก เมื่อตัดแล้ววางลงบนตะกร้า หย่อนเชือกลงมาด้านล่าง ผู้ที่อยู่ใต้ต้นจะเป็นผู้เก็บรวบรวมเป็นกอง ปกติต้นหนึ่งๆ จะให้ผลผลิตประมาณ 100-150 กิโลกรัม (ถ้าดูแลดี แต่โดยทั่วไปจะได้น้อยกว่านี้)<br />
<br />
3. ราคาจำหน่าย เกษตรจำหน่ายผลอินทผลัมสดในช่วงต้นฤดูกาลประมาณ กิโลกรัมละ 10-15 RO แต่ในช่วงที่ผลผลิตออกมากจะขายได้ประมาณ 0.25-0.35 RO ผลแห้งในท้องตลาดจะจำหน่ายปลีกประมาณ กิโลกรัมละ 0.35-1.0 RO ขึ้นอยู่กับคุณภาพของสินค้า<br />
<br />
4. การแปรรูป เกษตรกรจะนำผลไปผึ่งแดด ประมาณ 7-10 วัน จนผลแห้ง (เนื้อที่เป็นแป้งจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทั้งผล) แล้วนำไปล้างน้ำตากแห้งอีกเพียง 1 วัน แล้วบรรจุภาชนะเพื่อจำหน่ายต่อไป การคัดคุณภาพของผลแห้งจะแยกเป็นชนิดที่แยกเป็นผลเดี่ยวๆ ได้จะมีราคาแพง ส่วนผลที่ค่อนข้างจะติดกันจะตักขายเป็นก้อน ราคาจะถูกลง ส่วนชนิดที่เละมากจะนำไปกวนเป็นน้ำหวานสำหรับปรุงอาหาร สำหรับผลผลิตที่ไม่มีคุณภาพ เกษตรกรจะนำไปผึ่งแดดเก็บไว้เป็นอาหารสำหรับเลี้ยงวัวUnknownnoreply@blogger.com0